99 ปี พุทธทาสภิกขุกับกระบวนทัศน์ใหม่ (3) การเปลี่ยนผ่านกระบวนทัศน์ (จากชุมชนโบราณ มาถึงยุคทุนนิยม) ก่อนที่จะนำเสนอเรื่องกระบวนทัศน์ใหม่ คงต้องทำความเข้าใจคำว่า "กระบวนทัศน์" ก่อนเพราะคำว่า กระบวนทัศน์ เองก็มีคำถามว่า คืออะไรแน่ นอกจากนี้คำว่า "ใหม่" ก็มีคำถามอีกเช่นกันว่า อะไรใหม่และยังจะมีใหม่อีกกี่ใหม่ วิถีแก้ปัญหาที่ผมคิดได้คือ การนำเสนอภาพพัฒนาการ หรือการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันอย่างคร่าวๆ เพื่อจะตอบคำถามว่า อะไรใหม่ หรือเก่า ผมให้ความหมายคำว่า กระบวนทัศน์ คือชุดของภูมิปัญญาหรือความรับรู้ที่ค่อนข้างเป็นระบบ รวมทั้งลัทธิความเชื่อต่างๆ อย่างเช่น ความเชื่อทางศาสนา รวมทั้งลัทธิความเชื่อต่างๆ อย่างเช่น ลัทธิสังคมนิยมก็ถือว่าเป็นกระบวนทัศน์หนึ่งๆ เป็นต้น กระบวนทัศน์หรือชุดแห่งภูมิปัญญานี้จะก่อเกิดและแปรเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยของประวัติศาสตร์ กล่าวอีกอย่างหนึ่ง ในยุคสมัยประวัติศาสตร์หนึ่งๆ มักจะมีกระบวนทัศน์ก่อตัวขึ้นหลายกระบวนทัศน์ แต่มักจะมีกระบวนทัศน์อันหนึ่งดำรงฐานะครอบงำสังคมอยู่ การเปลี่ยนผ่านยุคสมัยของประวัติศาสตร์จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเปลี่ยนผ่านกระบวนทัศน์ ราวกับว่า การเปลี่ยนผ่านยุคประวัติศาสตร์กับการเปลี่ยนผ่านกระบวนทัศน์จะเคลื่อนไปด้วยกัน แต่การเปลี่ยนผ่านประวัติศาสตร์และกระบวนทัศน์ไม่ได้พัฒนาแบบเป็นเส้นตรง แต่เคลื่อนไปอย่างยึกยัก พลิกไปผันมาได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ในยุคแรกที่เราเรียกว่า "ยุคชุมชน" ชุมชนเกือบทั่วโลกจะมีกระบวนทัศน์พื้นฐานที่เรียกว่า ชุมชนนิยม ธรรมชาตินิยม ความเชื่อเรื่องผี รวมทั้งการเคารพบรรพบุรุษ แต่กระบวนทัศน์ในยุคนี้ไม่มีความซับซ้อน หรือการอธิบายความที่เป็นทฤษฎีที่เป็นระบบมากนัก พอโลกก้าวเข้าสู่ยุคจักรวรรดิการเมืองโบราณ หรือเกิดอาณาจักรขนาดใหญ่ อย่างเช่น อาณาจักรจีน หรืออินเดียโบราณ และอาณาจักรอยุธยา อาณาจักรขนาดใหญ่ในตัวเอง คือโครงสร้างในเชิงอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่ตั้งครอบเหนือชุมชน ในด้านวัฒนธรรม อาณาจักรขนาดใหญ่จำเป็นต้องสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ที่เหนือกว่ากระบวนทัศน์ชุมชนนิยมขึ้น เพื่อครอบเหนือกระบวนทัศน์ของชุมชน ตัวอย่างชัดๆ คือ ความเชื่อของลัทธิฮินดู รวมทั้งลัทธิความเชื่ออื่นๆ ที่อ้างความสูงสุดของพระเจ้าและอ้างความต่อเชื่อมระหว่างกษัตริย์ในฐานะผู้ปกครองกับพระเจ้า เพื่อให้ผู้คนยอมรับว่า กษัตริย์ ก็คือตัวแทนที่พระผู้เป็นเจ้าส่งมาปกครองโลกมนุษย์ หรือไม่ก็สร้างกระบวนทัศน์ที่เชื่อในโลกแห่งสวรรค์ โลกแห่งมนุษย์ และนรกขึ้นมาเพื่อครอบเหนือความเชื่อเรื่อง "ผี" ของชุมชน เพื่อชี้ว่า แม้แต่บรรดาผีที่ชุมชนนับถือ ก็ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของสวรรค์ และผู้เป็นใหญ่บนสวรรค์ นอกจากนี้ กระบวนทัศน์ของอาณาจักรมักจะแบ่งคนออกเป็นชนชั้น เช่น ฮินดู แบ่งคนในสังคมเป็น 4 ชนชั้นคือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพทย์ และศูทร กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือถ้าอาณาจักรใดสามารถทำให้ผู้คนในชุมชนยอมรับนับถือความเชื่อดังกล่าวได้ ความเชื่อดังกล่าวก็จะมีส่วนช่วยสร้างความเป็นปึกแผ่นและความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างวัฒนธรรมของอาณาจักรกับวัฒนธรรมของชุมชน แต่ในหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้น ไม่ว่าในกรณีของจีน หรืออินเดีย นักปราชญ์ที่ยังเชื่อในฐานคิดแบบชุมชนนิยม และธรรมชาตินิยมก็อาจจะผลิตสร้างชุดความเชื่อแบบชุมชนนิยมให้เป็นระบบขึ้นเพื่อท้าทายชุดความเชื่อแบบเทวดา หรือพระเจ้านิยม ตัวอย่างเช่น ความเชื่อของพุทธและเต๋าที่นำเสนอว่า ความสูงสุด คือธรรมชาติ ไม่ใช่พระเจ้าและปฏิเสธชุดความเชื่อในเรื่องของชนชั้น และสงคราม รวมทั้งการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจ ดังนั้นในยุคที่พุทธและเต๋ารุ่งเรืองขึ้นมาก็เท่ากับทำให้ชุมชนมีฐานทางกระบวนทัศน์ที่เป็นระบบและเป็นตัวเอง และสามารถท้าทายอำนาจของอาณาจักรได้ การเผชิญหน้า หรือการต่อสู้ระหว่างกระบวนทัศน์ที่แตกต่างกันก่อเกิดขึ้น ในบางกรณี อาณาจักรอาจจะต้องนำเอา พุทธ และเต๋า มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการปกครอง ตัวอย่างเช่น กรณีอาณาจักรฮั่นของจีนได้นำเอาพุทธและเต๋ามาใช้เป็นส่วนหนึ่งของปรัชญาการปกครอง หรือในกรณีของพระเจ้าอโศกที่นำเอาพุทธมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการปกครอง แต่การที่อาณาจักรขนาดใหญ่นำเอาปรัชญาแบบพุทธและเต๋าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการปกครองก็จำเป็นต้องปรับเนื้อหาของพุทธและเต๋าให้สอดคล้องกับการดำรงอยู่ของโครงสร้างการปกครองด้วย ตัวอย่างเช่น ชนชั้นปกครองจีนได้สร้างแนวคิดพื้นฐานเรื่อง สวรรค์ โลกมนุษย์ และนรกขึ้นมาเพื่อใช้แนวคิดนี้ครอบเหนือความเชื่อแบบพุทธ หรือเต๋าอีกทอดหนึ่ง ตัวอย่างเช่น นิยายอมตะของจีนเรื่อง ไซอิ๋ว ซึ่งเสนอภาพว่า พระพุทธเจ้ากลายเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในสรวงสวรรค์ พุทธในลักษณะนี้จึงกลายเป็น เทวดาพุทธะ ในกรณีของอาณาจักรอยุธยาก็ใช้วิถีไม่ต่างกัน เพื่อที่จะให้ศาสนาพุทธเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิการปกครอง ชนชั้นนำไทยก็อ้างหลักในหนังสือไตรภูมิพระร่วง ซึ่งแบ่งโลกเป็น 3 ส่วน คือ สวรรค์ โลกมนุษย์ และนรกเป็นฐาน ดังนั้น การสร้างกรุงศรีอยุธยา ก็คือการสร้างสรวงสวรรค์ให้พระพุทธเจ้าอยู่ ในสมัยอยุธยาจึงเกิดประเพณีการปั้นพระพุทธเจ้าขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเท่ากับว่า พระพุทธเจ้ากลายเป็นเทวดา หรือผู้สูงสุดที่สถิตอยู่บนสรวงสวรรค์ การอ้างเช่นนี้จะช่วยในแง่การปกครอง เพราะเท่ากับว่ากษัตริย์ไทยมีฐานะเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าในการปกครองโลกมนุษย์ นอกจากนี้ พระก็จะถูกยกย่องด้วยการให้ยศถาบรรดาศักดิ์ และถือว่าศาสนาพุทธกลายเป็นกลไกของสวรรค์ หรือรัฐในการปกครองชุมชน และโลกมนุษย์ ในกรณีที่เกิดขึ้นในยุโรปก็ไม่ต่างกัน ในช่วงแรก ความเชื่อแบบคริสต์จะถูกกวาดล้างเนื่องจากชนชั้นนำถือว่า ศาสนาคริสต์เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อแบบชุมชนนิยม ซึ่งเท่ากับเป็นกบฏ หรือท้าทายอำนาจของกรุงโรม จนในที่สุด ชนชั้นนำของกรุงโรมได้จับพระเยซูมาลงโทษ ด้วยการตรึงบนไม้กางเขนจนตาย แต่ความเชื่อคริสต์ศาสนากลับแพร่กระจายออกไปในชุมชนต่างๆ จนทำให้ชนชั้นนำเองต้องหันมาใช้ศาสนาคริสต์เป็นลัทธิความเชื่อในการปกครอง แต่การปรับความเชื่อแบบคริสต์เข้ากับการปกครองง่ายกว่าความเชื่อทั้งพุทธ และเต๋า เนื่องจากคริสต์เชื่อในเรื่องพระเจ้าสูงสุดองค์เดียวอยู่แล้ว ดังนั้น ฐานะที่สูงสุดของพระเจ้ากับการเกิดขึ้นของศูนย์อำนาจเดียวคืออาณาจักรโรมัน จึงไปได้ด้วยกันอย่างยิ่ง นี่สะท้อนภาพว่าจากยุคชุมชนมาถึงยุดจักรวรรดิการเมืองโบราณได้มีการต่อสู้เผชิญหน้ากันระหว่างกลุ่มชนและชนชั้นที่มีกระบวนทัศน์ที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างอาณาจักรกับชุมชน แต่ในเวลาเดียวกันก็มีการปรับเข้าหากัน อย่างเช่น อาณาจักรขนาดใหญ่หันมายอมรับกระบวนทัศน์ของชุมชน และใช้กระบวนทัศน์ดังกล่าวเป็นกระบวนทัศน์หลักของสังคม ในเมื่ออาณาจักรใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการปกครอง ศาสนาที่เป็นของอาณาจักรก็อาจจะแปรเปลี่ยนไปจากศาสนาเพื่อการปลดปล่อยมนุษยชาติสู่ศาสนาที่สร้างกรอบครอบเหนือจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ แต่ในที่สุด ยุคจักรวรรดิการเมืองโบราณก็มาถึงจุดจบด้วยสงครามแย่งชิงอำนาจกันระหว่าง 3 อาณาจักรขนาดใหญ่ของโลก เริ่มจากสงครามศาสนาที่เราเรียกว่า สงครามครูเสด (ประมาณปี ค.ศ. 1095 ถึงปี 1291) ตามด้วยสงครามการขยายอำนาจของมองโกลที่ขยายอำนาจเข้ามาสู่ตะวันออกกลาง และยุโรป (ปี 1271 ถึง 1368) รวมเวลาสงครามเกือบ 400 ปี หลังจากมองโกลเสื่อมอำนาจลง ในยุโรปก็เข้าสู่ช่วงสงครามแย่งชิงอำนาจกันอีกยาวเกือบ 100 ปี หลังจากนั้น ยุโรปก็เข้าสู่ "ยุคมืด" เกิดการแพร่ระบาดของโรคร้ายที่เรียกว่า ความตายสีดำ (The Black Death) ทำให้ผู้คนยุโรปตายไปเกือบ 25 ล้านคน สงคราม และวิกฤตใหญ่ที่ต่อเนื่องนี้เองทำให้ระบบการปกครองแบบฟิวดัลในยุโรปล้มคว่ำลง และทำให้ผู้คนเริ่มเสื่อมศรัทธาต่อพระเจ้า และทำให้เมืองการค้าซึ่งก่อตัวขึ้นตามเมืองท่าได้กลายเป็นศูนย์ของชีวิตใหม่ ในขณะเดียวกัน กระบวนทัศน์ใหม่ที่เรียกว่า "มนุษยนิยม" และ "เหตุผลนิยม" ก็เริ่มก่อตัวขึ้นในยุโรป โดยมีเหตุผลพื้นฐาน 2 ประการ ประการแรก เพื่อปฏิเสธอำนาจของศาสนจักรที่กรุงโรม ประการที่สอง เพื่อแยกอำนาจของพระเจ้าออกจากเรื่องราวของโลกมนุษย์ พูดแบบสรุปคือ กระบวนทัศน์ใหม่นี้เชื่อว่าพระเจ้าทำหน้าที่สร้างโลก จักรวาล และมนุษย์ขึ้น แต่พระเจ้าได้ยกโลกและจักรวาลนี้ให้แก่มนุษย์ในฐานะผู้ดูแลหรือผู้ปกครอง
วันพุธ, สิงหาคม 12, 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น