วันอังคาร, สิงหาคม 18, 2552

รับมือไข้หวัด (เล็ก) ด้วย 13 สมุนไพรไทยใกล้ตัว

รับมือไข้หวัด (เล็ก) ด้วย 13 สมุนไพรไทยใกล้ตัว
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์
14 สิงหาคม 2552 12:22 น.

Healthy & Happy ช่วงนี้กระแสของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ดูแผ่วไป จนหลายคนบอกว่าเป็นช่วงขาลง ทว่านักวิชาการหลายท่านออกมาฟันธงว่า การแพร่ระบาดจะกลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้จะหนักกว่าเดิมถึงสองเท่า ฟังข่าวไปหลายคนก็อดหวาดหวั่นตามไม่ได้ เป็นหวัดเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมา ก็จิตตกกลัวว่าตัวเองจะติดเชื้อจนไม่เป็นอันทำอะไร คิดแต่จะไปหาหมอให้ตรวจท่าเดียว แต่ถ้าลองไตร่ตรองดูดีๆ หากคุณแค่ป่วยเป็นไข้หวัดธรรมดา การไปโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 รอรับการตรวจรักษาอยู่ อาจทำให้คุณมีเปอร์เซ็นต์เสี่ยงติดเชื้อได้มากกว่าหรือไม่ ทางที่ดีหากเป็นหวัดเล็กๆ น้อยๆ ก็ลองหันมาศึกษาวิธีการใช้สมุนไพรไทยใกล้ตัวที่ Healthy & Happy ฉบับนี้นำข้อมูลจากวารสารเกษตรกรรมธรรมชาติมาแนะนำ เพื่อดูแลสุขภาพของคุณและสมาชิกในครอบครัว จะเวิร์กกว่าการหาหมอเป็นไหนๆ กระเทียมสด นำมาปอกเปลือกแล้วสับให้ละเอียด รับประทานสดๆ ช่วยรักษาอาการเจ็บคอ มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย และช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอย่างดี ขิง นำขิงแก่มาหั่นเป็นแว่นต้มเอาน้ำดื่ม เติมอบเชยและน้ำผึ้ง หรือจะนำมาตำเอาน้ำผสมกับน้ำมะนาว แล้วเติมเกลือเล็กน้อย จิบแก้ไอ ขับเสมหะ มะนาว นำมาผสมกับน้ำผึ้ง แล้วชงกับน้ำร้อน แก้เจ็บคอ ช่วยให้หายใจโล่ง ลดอาการไอ ลดเสมหะ ส้มเขียวหวาน นำมาคั้นน้ำดื่ม ส้มเขียวหวานมีวิตามินซีสูง ช่วยให้อาการหวัดหายเร็วขึ้น ฟ้าทะลายโจร นำใบมาตากให้แห้งแล้วบดเป็นผง ปั้นกับน้ำผึ้งเป็นยาลูกกลอน รับประทานแก้ไข้ แก้อักเสบ แก้เจ็บคอ หอมหัวแดง นำมาล้างน้ำให้สะอาด ทุบพอบุๆ แล้วห่อด้วยผ้าขาวบาง นำไปวางไว้ใกล้หมอนสำหรับหนุนนอน จะช่วยทำให้หายใจโล่งขึ้น ยูคาลิปตัส นำใบมาต้มแล้วสูดดม จะช่วยแก้อาการหายใจติดขัด ดีปลี นำผลแก่แห้งๆ มาต้ม หรือนำมาฝนแล้วผสมกับน้ำมะนาว เพิ่มเกลือเล็กน้อย ช่วยบรรเทาอาการไอ และขับเสมหะ มะแว้งต้น และมะแว้งเครือ นำผลสดโตเต็มที่ประมาณ 5-10 ผล ตำพอแหลก เติมน้ำเล็กน้อย แล้วคั้นเอาแต่น้ำ เติมเกลือเล็กน้อย จิบบ่อยๆ หรือใช้ผลสดเคี้ยวกลืนทั้งเนื้อและน้ำ จนหมดรสขมเฝื่อน จะช่วยลดอาการไอและขับเสมหะได้ เพกา นำเมล็ดมาต้มดื่ม เป็นยาแก้ไอ ลดอาการระคายคอจากเสมหะ คนจีนนิยมนำเพกามาต้มผสมในน้ำจับเลี้ยง แก้ร้อนใน มะขามป้อม นำผลสดมาจิ้มกับเกลือ หรือต้มเอาน้ำดื่ม ช่วยแก้ไอ ขับเสมหะ ชะเอมเทศ นำรากขนาด 3-10 กรัม มาเคี้ยวอม ทำให้ชุ่มคอ ช่วยลดอาการระคายเคือง และขับเสมหะ ชะเอมไทย ใช้รากยาว 2-4 นิ้ว นำมาต้มรับประทาน เช้า-เย็น ทานติดต่อกัน 2-4 วัน ช่วยบรรเทาอาการไอ และขับเสมหะ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงสมุนไพรตัวอย่างใกล้ตัว ที่หาง่ายใช้ง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องรอให้หมอมาเจียดยาหรือสั่งยาให้ ขอย้ำว่าใช้สำหรับอาการหวัดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น หากคุณมีอาการไอ และไข้ไม่ลด แต่กลับไข้สูงติดต่อกันเกิน 48 ชั่วโมงแล้วล่ะก็ สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าอาจเข้าข่ายติดเชื้อ รีบพบหมอทันทีในชั่วโมงที่ 49 หากรู้ระดับความร้ายแรงของอาการและรับมืออย่างถูกวิธี ไม่ปล่อยปละละเลย เชื่อเถอะไม่ว่าไข้หวัดประเภทไหน คุณก็สามารถหลบหลีกได้ทั้งนั้น

วันพุธ, สิงหาคม 12, 2552

ปู่เย็น

นายเย็น แก้วมณี หรือ ปู่เย็น เป็นชาวเพชรบุรี นับถือศาสนาอิสลาม บิดาชื่อนายสุข แก้วมะณี มารดาชื่อนางชม แก้วมะณีอาศัยอยู่ตามทะเบียนราษฎร์ เลขที่ 274/4 ถนนมาตยาวงศ์ ต.ท่าราบ อ.เมือง จ.เพชรบุรี เดิมประกอบอาชีพรับจ้างเลี้ยววัว มีภรรยาชื่อนางเอิบ แก้วมะณี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2536 จากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ในเรือมาตลอด เลี้ยงตนเองด้วยการหาปลาขายมีรายได้วันละ 30-70 บาท จะขึ้นฝั่งไปอยู่กับหลานที่ อ.ท่ายาง ช่วงน้ำหลากเชี่ยวเท่านั้น หากนับอายุตามหลักฐานทะเบียนราษฎร์มีอายุ 86 ปี แต่ปู่เย็นเล่าให้ฟังว่าเกิดปีฉลู ขณะนี้อายุ 105 ปี ซึ่งจากการสอบถามผู้สูงอายุกว่า 80 ปีใน อ.เมือง ยืนยันว่าเมื่อยังเด็กเห็นปู่เย็นเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว ปู่เย็น เป็นคนเกรงใจคนอื่นอย่างมาก ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใครง่ายๆ ไม่ยอมให้ใครทำอะไรให้ฟรีๆ โดยบอกว่า ตั้งแต่ภรรยาเสียชีวิตก็อยู่บนฝั่งไม่ได้ ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในเรือ และการหาปลาก็ทำให้ลืมความคิดถึงภรรยาไปได้บ้าง แต่ก็ยืนยันว่าชีวิตตนเองไม่ได้ลำบากอะไร ทั้งนี้ นายเย็นจะปักและกู้อวนวันละ 2 รอบ คือช่วง 21.00 น. และ 04.00 น. จากนั้นในตอนเช้าจะนำปลาไปขายที่ตลาด รายการคนค้นฅนเป็นรายการแรกที่ทำให้ได้รู้จักกับชายชราผู้นี้ นายเย็น แก้วมณี หรือ ปู่เย็น ชายชราผู้หลงยุค ผู้มีร่างกายแข็งแรงและเต็มเปี่ยมไปด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งที่ไม่ยอมจำนนต่อวัยและสังขารอันร่วงโรยในเรือลำเล็กๆ ลำหนึ่งขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 5 เมตร ที่เป็นทั้งเรือนงานแห่งชีวิตกับการยึดอาชีพวางอวนหาปลาในแม่น้ำเพชรบุรี อีกรวมถึงยังเป็นเรือนนอนที่กินอยู่และอาศัยพักพิงเพียงอยู่ตัวคนเดียวมาหลายสิบปีหลังจากที่ภรรยาและญาติสนิทมิตรสหายค่อยๆ ล้มหายตายจากไปตามอายุขัยของคนปกติที่มีอายุอาจไม่เกิน 80 ปี
ทุกเช้าที่บริเวณตลาดสดแถวสะพานลำใย ชายชราหลังงองุ้มคนหนึ่ง จะปรากฏตัวขึ้นมาจากบันไดเชิงสะพานพร้อมกับกะละมังหนึ่งใบใส่ปลาน้ำจืดประมาณ 10-20 ตัว มานั่งขายให้กับผู้คนที่มาจับจ่ายใช้สอยในตลาด .. ไม่มีตราชั่ง .. ไม่มีถุงใส่ .. ไม่มีป้ายตั้งราคา ..ใครอยากซื้อเท่าไหร่ก็จ่ายมาเท่านั้น และ เมื่อปลาหมดการนั่งกินน้ำเต้าหู้ที่ร้านใกล้สะพานก็จะเป็นมื้อเช้าของปู่ทุกวัน ก่อนกลับลงเรือที่จอดอยู่ใต้สะพาน
เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนหลังฤดูฝนไปจนถึงเดือนมิถุนายนก่อนการกลับมาของฤดูฝนอีกครั้ง และเมื่อถึงฤดูฝนปู่เย็นจะกลับขึ้นฝั่งไปพักอาศัยอยู่กับหลานพร้อมกับการยกเรือขึ้นไปอยู่บนฝั่งที่ อ.ท่ายางเนื่องจากน้ำในแม่น้ำหลากเกินไปที่จะหาปลาและอยู่อาศัยได้ และเมื่อหมดฝนการเฝ้ารอคอยของปู่เย็นที่จะได้กลับลงแม่น้ำอีกครั้งก็จะเกิดขึ้น เรือลำหนึ่งจะล่องจากท่ายางมาที่เมืองเพชรเป็นระยะทางกว่า 20 กิโลเมตร เพื่อกลับสู่วิถีชีวิตเดิมๆ ภาพของวัฎจักรแห่งชีวิตและการงานของปู่เย็นก็จะดำเนินไปอีกครั้ง กับชีวิตและความผูกพันกับแม่น้ำเพชรบุรีแม่น้ำสายแห่งชีวิตที่ปู่เย็นทำมาหากินหล่อเลี้ยงตัวเอง มาจนวัยลุล่วงมาจนถึงในวันนี้


ที่มา...นิตยสาร ฅ คน ฉบับวันที่ 1 พฤศจิกายน 2546

99 ปี พุทธทาสภิกขุกับกระบวนทัศน์ใหม่ (3)

99 ปี พุทธทาสภิกขุกับกระบวนทัศน์ใหม่ (3) การเปลี่ยนผ่านกระบวนทัศน์ (จากชุมชนโบราณ มาถึงยุคทุนนิยม) ก่อนที่จะนำเสนอเรื่องกระบวนทัศน์ใหม่ คงต้องทำความเข้าใจคำว่า "กระบวนทัศน์" ก่อนเพราะคำว่า กระบวนทัศน์ เองก็มีคำถามว่า คืออะไรแน่ นอกจากนี้คำว่า "ใหม่" ก็มีคำถามอีกเช่นกันว่า อะไรใหม่และยังจะมีใหม่อีกกี่ใหม่ วิถีแก้ปัญหาที่ผมคิดได้คือ การนำเสนอภาพพัฒนาการ หรือการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันอย่างคร่าวๆ เพื่อจะตอบคำถามว่า อะไรใหม่ หรือเก่า ผมให้ความหมายคำว่า กระบวนทัศน์ คือชุดของภูมิปัญญาหรือความรับรู้ที่ค่อนข้างเป็นระบบ รวมทั้งลัทธิความเชื่อต่างๆ อย่างเช่น ความเชื่อทางศาสนา รวมทั้งลัทธิความเชื่อต่างๆ อย่างเช่น ลัทธิสังคมนิยมก็ถือว่าเป็นกระบวนทัศน์หนึ่งๆ เป็นต้น กระบวนทัศน์หรือชุดแห่งภูมิปัญญานี้จะก่อเกิดและแปรเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยของประวัติศาสตร์ กล่าวอีกอย่างหนึ่ง ในยุคสมัยประวัติศาสตร์หนึ่งๆ มักจะมีกระบวนทัศน์ก่อตัวขึ้นหลายกระบวนทัศน์ แต่มักจะมีกระบวนทัศน์อันหนึ่งดำรงฐานะครอบงำสังคมอยู่ การเปลี่ยนผ่านยุคสมัยของประวัติศาสตร์จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเปลี่ยนผ่านกระบวนทัศน์ ราวกับว่า การเปลี่ยนผ่านยุคประวัติศาสตร์กับการเปลี่ยนผ่านกระบวนทัศน์จะเคลื่อนไปด้วยกัน แต่การเปลี่ยนผ่านประวัติศาสตร์และกระบวนทัศน์ไม่ได้พัฒนาแบบเป็นเส้นตรง แต่เคลื่อนไปอย่างยึกยัก พลิกไปผันมาได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ในยุคแรกที่เราเรียกว่า "ยุคชุมชน" ชุมชนเกือบทั่วโลกจะมีกระบวนทัศน์พื้นฐานที่เรียกว่า ชุมชนนิยม ธรรมชาตินิยม ความเชื่อเรื่องผี รวมทั้งการเคารพบรรพบุรุษ แต่กระบวนทัศน์ในยุคนี้ไม่มีความซับซ้อน หรือการอธิบายความที่เป็นทฤษฎีที่เป็นระบบมากนัก พอโลกก้าวเข้าสู่ยุคจักรวรรดิการเมืองโบราณ หรือเกิดอาณาจักรขนาดใหญ่ อย่างเช่น อาณาจักรจีน หรืออินเดียโบราณ และอาณาจักรอยุธยา อาณาจักรขนาดใหญ่ในตัวเอง คือโครงสร้างในเชิงอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่ตั้งครอบเหนือชุมชน ในด้านวัฒนธรรม อาณาจักรขนาดใหญ่จำเป็นต้องสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ที่เหนือกว่ากระบวนทัศน์ชุมชนนิยมขึ้น เพื่อครอบเหนือกระบวนทัศน์ของชุมชน ตัวอย่างชัดๆ คือ ความเชื่อของลัทธิฮินดู รวมทั้งลัทธิความเชื่ออื่นๆ ที่อ้างความสูงสุดของพระเจ้าและอ้างความต่อเชื่อมระหว่างกษัตริย์ในฐานะผู้ปกครองกับพระเจ้า เพื่อให้ผู้คนยอมรับว่า กษัตริย์ ก็คือตัวแทนที่พระผู้เป็นเจ้าส่งมาปกครองโลกมนุษย์ หรือไม่ก็สร้างกระบวนทัศน์ที่เชื่อในโลกแห่งสวรรค์ โลกแห่งมนุษย์ และนรกขึ้นมาเพื่อครอบเหนือความเชื่อเรื่อง "ผี" ของชุมชน เพื่อชี้ว่า แม้แต่บรรดาผีที่ชุมชนนับถือ ก็ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของสวรรค์ และผู้เป็นใหญ่บนสวรรค์ นอกจากนี้ กระบวนทัศน์ของอาณาจักรมักจะแบ่งคนออกเป็นชนชั้น เช่น ฮินดู แบ่งคนในสังคมเป็น 4 ชนชั้นคือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพทย์ และศูทร กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือถ้าอาณาจักรใดสามารถทำให้ผู้คนในชุมชนยอมรับนับถือความเชื่อดังกล่าวได้ ความเชื่อดังกล่าวก็จะมีส่วนช่วยสร้างความเป็นปึกแผ่นและความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างวัฒนธรรมของอาณาจักรกับวัฒนธรรมของชุมชน แต่ในหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้น ไม่ว่าในกรณีของจีน หรืออินเดีย นักปราชญ์ที่ยังเชื่อในฐานคิดแบบชุมชนนิยม และธรรมชาตินิยมก็อาจจะผลิตสร้างชุดความเชื่อแบบชุมชนนิยมให้เป็นระบบขึ้นเพื่อท้าทายชุดความเชื่อแบบเทวดา หรือพระเจ้านิยม ตัวอย่างเช่น ความเชื่อของพุทธและเต๋าที่นำเสนอว่า ความสูงสุด คือธรรมชาติ ไม่ใช่พระเจ้าและปฏิเสธชุดความเชื่อในเรื่องของชนชั้น และสงคราม รวมทั้งการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจ ดังนั้นในยุคที่พุทธและเต๋ารุ่งเรืองขึ้นมาก็เท่ากับทำให้ชุมชนมีฐานทางกระบวนทัศน์ที่เป็นระบบและเป็นตัวเอง และสามารถท้าทายอำนาจของอาณาจักรได้ การเผชิญหน้า หรือการต่อสู้ระหว่างกระบวนทัศน์ที่แตกต่างกันก่อเกิดขึ้น ในบางกรณี อาณาจักรอาจจะต้องนำเอา พุทธ และเต๋า มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการปกครอง ตัวอย่างเช่น กรณีอาณาจักรฮั่นของจีนได้นำเอาพุทธและเต๋ามาใช้เป็นส่วนหนึ่งของปรัชญาการปกครอง หรือในกรณีของพระเจ้าอโศกที่นำเอาพุทธมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการปกครอง แต่การที่อาณาจักรขนาดใหญ่นำเอาปรัชญาแบบพุทธและเต๋าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการปกครองก็จำเป็นต้องปรับเนื้อหาของพุทธและเต๋าให้สอดคล้องกับการดำรงอยู่ของโครงสร้างการปกครองด้วย ตัวอย่างเช่น ชนชั้นปกครองจีนได้สร้างแนวคิดพื้นฐานเรื่อง สวรรค์ โลกมนุษย์ และนรกขึ้นมาเพื่อใช้แนวคิดนี้ครอบเหนือความเชื่อแบบพุทธ หรือเต๋าอีกทอดหนึ่ง ตัวอย่างเช่น นิยายอมตะของจีนเรื่อง ไซอิ๋ว ซึ่งเสนอภาพว่า พระพุทธเจ้ากลายเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในสรวงสวรรค์ พุทธในลักษณะนี้จึงกลายเป็น เทวดาพุทธะ ในกรณีของอาณาจักรอยุธยาก็ใช้วิถีไม่ต่างกัน เพื่อที่จะให้ศาสนาพุทธเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิการปกครอง ชนชั้นนำไทยก็อ้างหลักในหนังสือไตรภูมิพระร่วง ซึ่งแบ่งโลกเป็น 3 ส่วน คือ สวรรค์ โลกมนุษย์ และนรกเป็นฐาน ดังนั้น การสร้างกรุงศรีอยุธยา ก็คือการสร้างสรวงสวรรค์ให้พระพุทธเจ้าอยู่ ในสมัยอยุธยาจึงเกิดประเพณีการปั้นพระพุทธเจ้าขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเท่ากับว่า พระพุทธเจ้ากลายเป็นเทวดา หรือผู้สูงสุดที่สถิตอยู่บนสรวงสวรรค์ การอ้างเช่นนี้จะช่วยในแง่การปกครอง เพราะเท่ากับว่ากษัตริย์ไทยมีฐานะเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าในการปกครองโลกมนุษย์ นอกจากนี้ พระก็จะถูกยกย่องด้วยการให้ยศถาบรรดาศักดิ์ และถือว่าศาสนาพุทธกลายเป็นกลไกของสวรรค์ หรือรัฐในการปกครองชุมชน และโลกมนุษย์ ในกรณีที่เกิดขึ้นในยุโรปก็ไม่ต่างกัน ในช่วงแรก ความเชื่อแบบคริสต์จะถูกกวาดล้างเนื่องจากชนชั้นนำถือว่า ศาสนาคริสต์เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อแบบชุมชนนิยม ซึ่งเท่ากับเป็นกบฏ หรือท้าทายอำนาจของกรุงโรม จนในที่สุด ชนชั้นนำของกรุงโรมได้จับพระเยซูมาลงโทษ ด้วยการตรึงบนไม้กางเขนจนตาย แต่ความเชื่อคริสต์ศาสนากลับแพร่กระจายออกไปในชุมชนต่างๆ จนทำให้ชนชั้นนำเองต้องหันมาใช้ศาสนาคริสต์เป็นลัทธิความเชื่อในการปกครอง แต่การปรับความเชื่อแบบคริสต์เข้ากับการปกครองง่ายกว่าความเชื่อทั้งพุทธ และเต๋า เนื่องจากคริสต์เชื่อในเรื่องพระเจ้าสูงสุดองค์เดียวอยู่แล้ว ดังนั้น ฐานะที่สูงสุดของพระเจ้ากับการเกิดขึ้นของศูนย์อำนาจเดียวคืออาณาจักรโรมัน จึงไปได้ด้วยกันอย่างยิ่ง นี่สะท้อนภาพว่าจากยุคชุมชนมาถึงยุดจักรวรรดิการเมืองโบราณได้มีการต่อสู้เผชิญหน้ากันระหว่างกลุ่มชนและชนชั้นที่มีกระบวนทัศน์ที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างอาณาจักรกับชุมชน แต่ในเวลาเดียวกันก็มีการปรับเข้าหากัน อย่างเช่น อาณาจักรขนาดใหญ่หันมายอมรับกระบวนทัศน์ของชุมชน และใช้กระบวนทัศน์ดังกล่าวเป็นกระบวนทัศน์หลักของสังคม ในเมื่ออาณาจักรใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการปกครอง ศาสนาที่เป็นของอาณาจักรก็อาจจะแปรเปลี่ยนไปจากศาสนาเพื่อการปลดปล่อยมนุษยชาติสู่ศาสนาที่สร้างกรอบครอบเหนือจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ แต่ในที่สุด ยุคจักรวรรดิการเมืองโบราณก็มาถึงจุดจบด้วยสงครามแย่งชิงอำนาจกันระหว่าง 3 อาณาจักรขนาดใหญ่ของโลก เริ่มจากสงครามศาสนาที่เราเรียกว่า สงครามครูเสด (ประมาณปี ค.ศ. 1095 ถึงปี 1291) ตามด้วยสงครามการขยายอำนาจของมองโกลที่ขยายอำนาจเข้ามาสู่ตะวันออกกลาง และยุโรป (ปี 1271 ถึง 1368) รวมเวลาสงครามเกือบ 400 ปี หลังจากมองโกลเสื่อมอำนาจลง ในยุโรปก็เข้าสู่ช่วงสงครามแย่งชิงอำนาจกันอีกยาวเกือบ 100 ปี หลังจากนั้น ยุโรปก็เข้าสู่ "ยุคมืด" เกิดการแพร่ระบาดของโรคร้ายที่เรียกว่า ความตายสีดำ (The Black Death) ทำให้ผู้คนยุโรปตายไปเกือบ 25 ล้านคน สงคราม และวิกฤตใหญ่ที่ต่อเนื่องนี้เองทำให้ระบบการปกครองแบบฟิวดัลในยุโรปล้มคว่ำลง และทำให้ผู้คนเริ่มเสื่อมศรัทธาต่อพระเจ้า และทำให้เมืองการค้าซึ่งก่อตัวขึ้นตามเมืองท่าได้กลายเป็นศูนย์ของชีวิตใหม่ ในขณะเดียวกัน กระบวนทัศน์ใหม่ที่เรียกว่า "มนุษยนิยม" และ "เหตุผลนิยม" ก็เริ่มก่อตัวขึ้นในยุโรป โดยมีเหตุผลพื้นฐาน 2 ประการ ประการแรก เพื่อปฏิเสธอำนาจของศาสนจักรที่กรุงโรม ประการที่สอง เพื่อแยกอำนาจของพระเจ้าออกจากเรื่องราวของโลกมนุษย์ พูดแบบสรุปคือ กระบวนทัศน์ใหม่นี้เชื่อว่าพระเจ้าทำหน้าที่สร้างโลก จักรวาล และมนุษย์ขึ้น แต่พระเจ้าได้ยกโลกและจักรวาลนี้ให้แก่มนุษย์ในฐานะผู้ดูแลหรือผู้ปกครอง

วันอังคาร, ธันวาคม 02, 2551

ประวัติศูนย์นิด้าอุดรธานี

สรรสาระ WEB น่าสนใจ ข่าวสาร NIDA NETWORK BLOG วิชาการ แสดงความเห็น รูปกิจกรรม

เริ่มจากความคิดริเริ่มของนักศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ ปริญญาโทพิเศษ ศูนย์สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นนักศึกษาที่ทำงานที่จังหวัดอุดรธานีเดินทางไปเรียนที่สีคิ้ว ในสมัยนั้นมีความประสงค์จะส่งเสริมให้พี่น้องลูกหลานชาวจังหวัดอุดรธานี มีโอกาสได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาโท กับสถาบันที่มีคุณภาพในการจัดการศึกษา จึงได้ปรึกษากับคณาจารย์นิด้าให้นำหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ ภาคพิเศษ มาเปิดสอนที่อุดรธานี ได้จัดหาสถานที่ ที่จะใช้เป็นศูนย์การเรียนการสอนในจังหวัดอุดรธานี ที่สุดมีความเห็นว่าโรงเรียนอุดรวิทยา เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดเพราะตั้งอยู่กลางใจเมืองอุดรธานี การเดินทางสะดวกสบายจึงได้นำเรื่องเข้าปรึกษากับ คุณวิบูลย์ ตรีวัฒน์สุวรรณ นายกสมาคมส่งเสริมพ่อค้าจีนอุดรธานี สมัยที่ 1 ซึ่งคุณวิบูลย์ ตรีวัฒน์สุวรรณ มีความยินดีและเห็นชอบด้วย จึงได้อนุญาตให้คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ใช้โรงเรียนอุดรวิทยาเป็นศูนย์การศึกษาการเรียนการสอนระดับปริญญาโท ภาคพิเศษ เพราะโรงเรียนอยู่ภายใต้การกำกับดูแลและให้การอุปถัมภ์ของสมาคมส่งเสริมพ่อค้าจีนอุดรธานี จึงได้จัดทำโครงการความร่วมมือในการจัดการศึกษาชั้นปริญญาโท ภาคพิเศษ ส่วนภูมิภาค จังหวัดอุดรธานี ระหว่างคณะรัฐประศาสนศาสตร์กับสมาคมส่งเสริมพ่อค้าจีนอุดรธานี ลงนามโดย รศ.ดร.วรเดช จันทศร คณบดีคณะรัฐประศาสนศาสตร์ ในสมัยนั้น และนายวิบูลย์ ตรีวัฒน์สุวรรณ์ นายกสมาคมส่งเสริมพ่อค้าจีนอุดรธานี หลังจากลงนามในสัญญาร่วมโครงการฯ นายวิบูลย์ ตรีวัฒน์สุวรรณ ได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ เมื่อเดือน มีนาคม 2538 ในระหว่างการก่อสร้างอาคารเรียน นักศึกษาปริญญาโท ภาคพิเศษ อุดรธานี รุ่นที่ 1 ไปขอใช้สำนักงานคลังเขต 4 เป็นสถานที่เรียนก่อน จนกระทั่งอาคารเรียนสร้างเสร็จ จึงได้ย้ายมาเรียนที่อาคารโรงเรียนอุดรวิทยา (ชั้น 3) เมื่อเดือนมกราคม 2539 จนถึงปัจจุบัน